บทความ

Dunning–Kruger effect! คืออะไร ทำไมต้องจำให้ขึ้นใจ

รูปภาพ
ปรากฏการณ์ดันนิง–ครูเกอร์      ปรากฏการณ์ดันนิง–ครูเกอร์ (Dunning–Kruger effect) เป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่อธิบายถึงแนวโน้มที่คนที่มีทักษะหรือความรู้ในบางด้านต่ำ จะประเมินความสามารถของตนสูงเกินจริง ปรากฏการณ์นี้ได้รับการตั้งชื่อตามนักจิตวิทยาสองคนคือ เดวิด ดันนิง และ จัสติน ครูเกอร์ ที่ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้ในปี ค.ศ. 1999 กราฟแสดงปรากฏการณ์ดันนิง–ครูเกอร์      สาเหตุของปรากฏการณ์ดันนิง–ครูเกอร์ เกิดจากความไร้ความสามารถอภิประชาน (metacognitive incompetence) ของคนที่มีทักษะหรือความรู้ต่ำ นั่นคือ คนกลุ่มนี้ไม่สามารถรับรู้ถึงความไม่รู้ของตนได้ เป็นผลให้พวกเขาคิดว่าตนมีความรู้ความสามารถมากกว่าความเป็นจริง ปรากฏการณ์ดันนิง–ครูเกอร์ สามารถพบเห็นได้ในหลากหลายสถานการณ์ เช่น      นักศึกษาที่เพิ่งเริ่มเรียนวิชาใหม่มักจะประเมินความสามารถของตนสูงเกินจริง คิดว่าตนเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายและรวดเร็วกว่าความเป็นจริง คนที่ไม่มีความรู้เรื่องการเมืองมักจะประเมินความสามารถของตนในการวิจารณ์นโยบายสาธารณะสูงเกินจริง      คนที่ไม่เข้าใจกฎหมายมักจะประเมินความสามารถของตนในการต่อสู้คดีสูงเกินจริง ตั

ความสำคัญของการสื่อสาร

รูปภาพ
 การสื่อ-สาร         "คำ" ธรรมดาๆ ที่ทุกคนได้ยินกันอยู่เป็นประจำทั้งในชีวิตการเรียน ชีวิตประจำวัน หรือแม้กระทั้งชีวิตการทำงาน แต่อันที่จริงแล้วคำๆ นี้สำคัญมากในการเข้าใจความหมาย หรือการหยิบมาใช้ประโยชน์ เคยไหมครับที่คุยกับเพื่อนแล้วเกิดความเข้าใจผิดเนื่องจาก"พิมพ์"สื่อสารที่ไม่ดี เคยดีลงานกับลูกค้าแล้วไม่เป็นไปตามที่คุยกันตอนแรกเนื่องจากการเข้าใจผิดจากการ"พูดคุย" หรือเคยทะเลาะกับแฟนไหมครับ เมื่อเขาหรือเธอไม่เข้าใจว่าเราต้องการอะไรจากการใช้ "สีหน้า-ท่าทาง" ดังนั่นเรื่องการสื่อสารนี้จึงสำคัญมากครับในชีวิตของทุกคน ไม่ว่าจะมิติไหน มันทำให้เกิดทั้งด้านดี และด้านลบได้ทั่งนั่น คุณอาจได้เลื่อนตำแหน่งเนื่องจากการสื่อสารที่เข้าเป้าของคุณ หรือคุณอาจโดนเฉดหัวออกจากบริษัทเนื่องจากการสื่อสารของคุณก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงกับองกรค์ ฉะนั่นในบทความนี้ผมจึงอยากแชร์สิ่งที่คุณต้องเข้าใจ และเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่จะสามารถนำไปฝึก และใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ องค์ประกอบของการสื่อสาร 1.  ผู้ส่งสาร ( sender) หรือ แหล่งสาร (source) 2.  สาร ( message) 3.  สื่อ หรือช่อ

หากอยากเป็นหัวหน้ายุคใหม่ที่ดีจงทิ้งคำว่า "ลูกน้อง"

รูปภาพ
 หากอยากเป็นหัวหน้ายุคใหม่ที่ดีจงทิ้งคำว่า "ลูกน้อง"     บทความนี้เขียนจากประสบการณ์โดยตรงของผมที่อยากจะแชร์ให้น้องๆ ที่ขึ้นมาเป็นหัวหน้ายุคใหม่ได้ลองนำไปปรับใช้กัน แต่เหนือสิ่งอื่นใดต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าใดๆในโลก ไม่มีสูตรสำเร็จโดยสมบูรณ์ มีแต่แนวทางที่จะนำไปปรับใช้ตามสถานณ์การให้เหมาะสมเพียงเท่านั่น ยิ่งเป็นตำแหน่งที่จะต้องบริหารทั้งคน ทั้งงานไปพร้อมๆกันด้วยนั่น ยิ่งต้องปรับวิธีคิดกันชอต ต่อ ชอต เลยครับ     ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับนิยามของหัวหน้าในแต่ละยุคกันก่อน ในยุคเก่าหรือการบริหารงานแบบเก่านั่น หัวหน้าจะมุ้งเน้นไปยังการ "สั่งการ" และ "ควบคุม" ให้เนื้องานเป็นไปตามมารตฐานที่ต้องการ หัวหน้างานยุคนี้จะมีความเด็ดเดี่ยวมากครับ และมีแผนที่ตายตัว อำนาจการตัดสินใจจะตกอยู่ที่หัวหน้าแต่เพียงผู้เดียว ยุคนี้จะมีความเข้มงวด และมีความเป็นระเบียบมากๆครับ หัวหน้ายุคนี้ไม่ได้แย่ หากแต่ไม่เหมาะกับยุคสมัยในปัจจุบัน เพราะอะไรหน่ะหรือ เพราะในยุคที่มีข้อมูล ความรู้ และการแข่งขันที่สูงแบบนี้ จำเป็นมากๆครับ ที่จะต้องทำให้ทุกคนในทีม หรือในองค์กรแกร่ง มากกว่าที่จะให้ห

Slave's Syndrome อาการขี้ข้า "ใจตัวเอง"

รูปภาพ
  ขี้ข้า "ใจตัวเอง"     จากที่เกริ่นไปในบทความที่แล้วว่าครั้งนึงตัวผมเองนั่นเคยมีจุดสูงสุดของความมั่นใจ และสูญเสียมันไปหลังจากพบปัญหาชีวิตที่ยากจะทำใจให้เป็นปกติได้ในเวลาอันสั่น หลังจากเหตุการณ์นั่นทำให้ผมสูญเสียความเป็นตัวเองไปโดยสิ้นเชิง เปลี่ยนให้ตัวเองกลับกลายเป็นคนที่ต่ำต้อย(ในสายตาตัวเอง) ที่มองสิ่งรอบตัว รวมถึงมองคนอื่นในแง่ลบอยู่ตลอดเวลา จากวันนั้นถึงวันนี้ถึงแม้ผมจะพยายามฟื้นฟูมันมาได้มากแล้ว แต่กระนั้นสิ่งที่ผมสูญเสียไป และยังไม่มีวี่แววว่ามันจะกลับมาได้เต็มร้อยเลยนั่นคือความมั่นใจครับ     ในความพยายามในการฟื้นฟูตัวเองของผมนั่น ผมได้มีโอกาศไปอ่านบทความของ นพ.สันต์ ใจยอดศิลน์  ซึ่งท่านเขียนได้ตรงกับสิ่งที่ผมเป็นอยู่ พร้อมทั้งแนะนำวิธีการแก้ไขที่ผมคิดว่าค่อนข้างได้ผลกับตัวเอง บทความนี้ผมจึงอยากที่ยกบทความของท่านมา เพื่อที่จะแบ่งปันประสบการณ์ และให้กำลังใจคนที่กำลังประสบปัญหานี้อยู่ด้วยครับ Slave's Syndrome      ศัลยกรรมที่มาจากประเทศกะเหรี่ยงทั้งหลายได้ร่วมกันตั้งชื่ออาการป่วยชนิดนี้ว่า “ กลุ่มอาการขี้ข้า ” หรือ “  Slave's Syndrome ”  มันจะเป็นกับคนที่เคยมีตั

"ขอบคุณ พวกคุณทุกคน"

รูปภาพ
   Thank     ผมเชื่อว่าทุกๆคนต้องมีจุดที่ตัวเองคิดว่า เป็นจุดพีคของชีวิตของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก  การงาน การเรียน หรือแม้กระทั้ง "ความมั่นใจ" ในบทความนี้ผมแค่อยากจะขอบคุณพวกคุณทั้งหลายที่ทำให้ผมก้าวผ่านสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของผมมาได้ ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรนั่นเอาไว้ติดตามกันต่อในบทความถัดไปครับ     อาจจะต้องท้าวความกันก่อนสักนิดก่อนที่จะเข้าเรื่อง ในชีวิตผมนั้นเคยอยู่ในจุดที่เลวร้ายมาก่อน ก่อนที่จะพบแสงสว่างในการเปลี่ยนชีวิตตัวเองตามที่เขียนไว้ในบทความก่อนๆ และช่วงชีวิตที่ผมรู้สึกว่าเป็นจุดสูงสุดของความภูมิใจและความมั่นใจ นั่นคือช่วงชีวิตตอนเรียนมหาลัย และมันก็มีจุดที่ด่ำดิ่งอีกครั้งแบบที่ทำให้ผมแทบจะกลายไปเป็นคนละคนกันเลยครับ. ตอนนี้ผมยังจำความมั่นใจ และความภูมิใจนั่นไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ     ทว่าแม้จะตกต่ำ ปวดร้าวมากแค่ไหน ความทรงจำดีๆในอดีตย่อมรักษาเราได้เสมอ นั่นคือสิ่งที่ผมเรียนรู้จากการก้าวพ้นจุดที่จิตใจตกต่ำ รูปภาพในอดีต บทสนทนาที่เคยคุยกับผู้คนรอบข้างมากมายช่วยให้ผมกลับมามีพลังใจได้อยู่เสมอ และในบทความนี้ผมอยากขอบคุณพวกเขามากจริงๆ พวกเขาไม่รู้หรอกว่าแค่ข้อค

"Les Miserable" บทเพลงแห่งความอยุติธรรม

รูปภาพ
บทเพลงแห่งความอยุติธรรม     จากสถานการณ์ในตอนนี้ทำให้ผมนึกถึงภาพยนต์ในดวงใจเรื่องนึงนั่นคือ "Les Miserable" ภาพยนต์เรื่องนี้ถูกยกมาปลุกใจทุกครั้งที่มีการชุมนุมทางการเมือง หลายๆท่านอาจไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังใช้บทเพลงจากบทประพันธ์เรื่องนี้อยู่อาทิเช่น Do you  hear the people sing หรือ Red&Black เป็นต้น ภาพยนต์เรื่องนี้เป็นบทประพันธ์ของ วิคเตอร์ ฮูโก้ ซึ่งถูกใช้ในการแสดงละครเวทีมาอย่างยาวนาน หากแต่เวอร์ชั่นที่ทำให้ผมได้รู้จัก Les Miserable นั้นเป็นภาพยนต์ในปี 2012 ในขณะนั่นผมทึ่งกับตัวเองมากที่นั้งดูภาพยนต์เรื่องนี้จนจบ เพราะโดยส่วนตัวแล้วเกลียดภาพยนต์เพลงเข้าไส้เลยครับ      เนื้อเรื่องย่อของภาพยนต์จะกล่าวถึง เนื้อหาเกี่ยวกับการปฏิวัติฝรั่งเศสตั้งแต่ปี1789 -1832 ชื่อ "Les miserable" หมายถึงคนในสังคมยุคนั้นที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกเอารัดเอาเปรียบจากสังคม ตัวละครในเรื่องเป็นตัวแทนของคนในสังคมความหิวโหยจนต้องกลายเป็นขโมย และนักโทษที่ไม่ได้รับโอกาสจากสังคม(ฌอง วัลฌอง) ผู้หญิงยากจนแต่ความรักที่มีให้ต่อลูกทำให้ต้องยอมขายผม ขายฟันหน้าและกลายเป็นโสเภณี(ฟองต

"เยาวชนปลดแอก"

รูปภาพ
บันทึก 20-07-2020     ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมามีเหตุการณ์ครัั้งสำคัญทางการเมืองเกิดขึ้นอีกครั้งนึง เมื่อมีกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านระบบการบริหารของรัฐบาลที่เป็นอยู่ ด้วยการใช้สื่อออนไลน์เป็นเครื่องมือในการกระจายข่าวสาร พลันให้นึกถึงตัวเองในอดีตที่แสดงเจตุจำนงทางการเมืองอยู่หลายครั้ง หากแต่ครั้งนั่นผู้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะปิดหูปิดตากันซะส่วนมาก ในส่วนตัวผมเองนั่นได้ทำการศึกษาลงลึกในรายละเอียดทั้งในเรื่องความขัดแย้ง หรือแม้แต่ระบอบปกครองจากแหล่งข้อมูลที่เป็นกลาง และหลากหลายที่สุดเท่าที่จะหาได้ เมื่อผมมองเหตุการณ์การลุกฮือครั้งนี้ บางครั้งมันก็ทำให้ผมรู้สึกหัวเสียขึ้นมาซะอย่างงั้น     ทำไมหน่ะหรือ ไม่ใช่ว่าผมเป็นสลิ่ม หรือเป็นฝั่งหัวโบราณแต่อย่างใดที่จริงแล้วด้วยอายุผมก็เป็นแค่เยาวชนคนนึงนั่นแหละ และคิดว่าผมนั้นลุกฮือก่อนหลายๆคนด้วยซ้ำ แต่เหตุที่หัวเสียก็เป็นเพราะเยาวชนบางคนขาดความรู้เชิงลึก และเลือกเสพข้อมูลตามกระแสโซเชี่ยวที่โหมกระหน่ำ เลือกใช้อารมณ์เป็นใหญ่ในการแสดงออก ด้วยการขาดความใตร่ตรองนี้เองที่ทำให้ผมรู้สึกหัวเสีย     "ประชาธิปไตยจอมปลอม" ทำไมผมถึงเปิดด้วยคำนี